เครื่องเทศวิเศษ 6 ชนิด

คนไทย บริโภคเครื่องเทศเป็นประจำ แม้ไม่หนักเหมือนเพื่อนบ้านบางประเทศ และเครื่องเทศตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นเป็นของแห้ง เครื่องเทศสดกลิ่นสู้แห้งไม่ได้ เช่น พริก และ พริกไทย เป็นตัวอย่างดีที่สุด

การเก็บรักษาเครื่องเทศ มีกฎเหล็กอยู่สามประการ หนึ่ง บรรจุในภาชนะที่ไม่มีอากาศเข้าออก เก็บไว้ในที่มืดหรือไม่โดนแสงโดยตรง ข้อสุดท้ายเก็บให้ห่างๆ ความร้อนและความชื้น

มนุษย์ใช้เครื่องเทศประกอบอาหารมาเนิ่นนาน เพราะหลงรักทั้งรสและกลิ่นของมัน เครื่องเทศมีคุณสมบัติตรงที่สามารถเก็บไว้ได้นาน นอกจากนี้ความวิเศษอีกประหนึ่งของเครื่องเทศคือ ปัจจุบันนี้นักโภชนการก็ยังค้นพบคุณสมบัติอันน่าทึ่งในเครื่องเทศอยู่เสมอ

มีเครื่องเทศอยู่ 6 ชนิด ที่ผมว่าคนไทยคุ้น อย่างแรกเลยคือ พริก

อย่างที่เราท่านทราบดี แทบไม่มีอาหารไทยรายการไหนขาดพริก ทั้งพริกแห้งและพริกสด คนไทยกินพริกมาก และยังรู้ความลับเกี่ยวกับพริกอีกด้วย เช่นเป็นต้นว่า ต้มยำกุ้งใส่พริกแห้ง (คั่ว) ผสมพริกสด นอกจากได้ลิ้มรสร้อนแรงแสนอร่อยแล้ว ยังได้กลิ่นหอมของพริกอีกต่างหาก ส่วนส้มตำ ไม่จำเป็นต้องใส่พริกแห้งเลย เพียงแต่พริกสดไม่เด็ดก้านก็ทั้งหอมและเผ็ด อะไรเช่นนี้เป็นต้น

พริกสด อุดมไปด้วยวิตามิซี มากแค่ไหนหรือครับ สองหรือสามเท่าของผลไม้จำพวกส้มและมะนาวเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ โปตัสเซียม และวิตามินบี

นักโภชนาการพบว่า พริก (สี) แดง มีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือนอกจากมีเบต้าแคโรทีนอยู่มากกว่าพริกสีอื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยชะลอความชรา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน พบว่าคุณค่าของพริก ช่วยลดความอ้วน มันจัดการกับคอเลสเตอรอลชนิดเลว ที่น่าสนใจคือ พริกมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งผิวหนัง แต่กระนั้นนักวิจัยบอกว่า ต้องรออีกระยะ ซึ่งไม่นานก็อาจสรุปได้ว่า พริกมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอยู่จริง

คนไทยสบายครับ เพราะกินพริกกันทุกวันอยู่แล้ว และยังไม่มีโทษร้ายแรงของพริกมากไปกว่า แสบทวาร (กรณีกินมากไป)

สมุนไพรต่อมาคือ อบเชย

อบเชยนี้ เรากินเปลือกของลำต้นมันครับ ในตลาดเครื่องเทศบ้านเรา อบเชยมาจาก 3 แหล่ง คือ อินโดนีเซีย ศรีลังกา และเวียดนาม

มันเป็นเครื่องเทศที่สามารถผสมได้ทั้งอาหารคาวและหวาน นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเทศอันดับแรกที่มนุษย์รู้จักเอามา ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งมีทั้งแบบเป็นแท่ง และบดเป็นผง

ของดีในอบเชยอยู่ตรงน้ำมันหอมระเหยที่ซ่อนอยู่ในเปลือก ซึ่งมีรสหวานๆ อุ่นๆ และกลิ่นหอมๆ นั่นเองครับ

นักวิจัยในประเทศปากีสถานพบว่า มันอาจมีส่วนช่วยลดภาวะน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวาน แม้กินเพียงเล็กน้อยก็ตาม รายงานยังระบุตัวเลขด้วยครับว่า หากบริโภคอบเชยหนึ่งกรัม ต่อวัน เป็นระยะเวลาสี่สิบวัน ช่วยให้ภาวะน้ำตาลในเลือดลดลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ป่วยเป็นเบาหวานประเภทสอ�

ไม่มีความคิดเห็น:

Speak Your Mind

Powered By Blogger · Designed By Seo Blogger Templates